มะม่วง

Spread the love

มะม่วง

มะม่วง นอกจากผลและใบแล้วที่ให้ประโยชน์แล้ว อาหารจานเด็ดของคนใต้ที่ใช้มะม่วงเบาอีกอย่างหนึ่งคือ แกงส้มมะม่วงเบา ทำจากเครื่องแกงส้มแบบใต้ที่ได้มาจากการตำพริก หอมแดง พริก ขมิ้น เกลือป่น และกะปิ เข้าด้วยกัน ใส่ลงไปหม้อน้ำ ตั้งไฟจนเดือด แล้วใส่มะม่วงเบาที่ผ่าเอาเม็ดออกและแช่น้ำเกลือกันดำมาแล้วลงไป รอจนเนื้อนิ่มแล้วค่อยใส่เนื้อสัตว์ เช่น ปลาหรือกุ้งลงไป ราดกินกับข้าวสวยร้อนๆ

1. มะม่วงมีถิ่นกำเนิดในอินเดียตั้งแต่ประมาณ 5,000 ปีก่อน เป็นผลไม้ที่คนรักอาหารทุกช่วงประวัติศาสตร์ต่างอยากลองและครอบครอง ชื่อภาษาอังกฤษของมะม่วง “mango” นั้นเชื่อว่ามาจากคำว่า “man-kay” ในภาษาทมิฬ ชาวโปรตุเกสเป็นผู้นำมะม่วงออกมาให้ชาวโลกรู้จัก ว่ากันว่า รูปร่างโค้งนูนเป็นเอกลักษณ์ของผลไม้ชนิดนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดลายลูกน้ำ (Paisley) ที่ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนเปอร์เซีย

2. สำหรับข้าวเหนียวมะม่วงนั้นจะมีแคลอรีสูงเพราะประกอบไปด้วยน้ำตาล ไขมันจากกะทิเป็นหลัก ผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวมีสุขภาพดี การรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงจึงไม่น่าจะมีปัญหาต่อสุขภาพ แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน การรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงอาจจะไปทำให้น้ำตาลและไขมันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลที่ตามมาก็คือน้ำหนักตัวเพิ่ม ความดันสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามรับประทานเสียทีเดียว แต่การรับประทานก็ควรรับประทานอย่างระวัง และพิจารณารับประทานให้พอดีกับสุขภาพก็จะเกิดประโยชน์สูงสุด

3. นอกจากผลและใบแล้วที่ให้ประโยชน์แล้ว ไม้มะม่วงยังนำมาทำครกคุณภาพได้อีกด้วย ชาวอีสานนิยมครกไม้มะม่วงเพราะมีกลิ่นหอมจากเนื้อไม้ เนื้อครกแข็งพอดีกับการตำส้มตำ ตำแล้วเส้นมะละกอดิบจะแหลกพอดี ได้น้ำเลี้ยงจากเส้นออกมาเพิ่มความฉ่ำอร่อยให้ส้มตำ โดยยังคงความกรอบอยู่ การตำด้วยครกหินที่ภาคกลางนิยมกันจะทำให้เส้นเละ

ไม่อร่อย แม้นวัตกรรมในปัจจุบันจะทำให้เรามีมะม่วงสุกทานได้ตลอดทั้งปี แต่คนไทยก็ยังถือว่าหน้ามะม่วงก็คือช่วงหน้าร้อน ระหว่างเดือนมี.ค.ถึงพ.ค.ของแต่ละปี เกษตรกรไทยปลูกมะม่วงรวมกันกว่า 200 สายพันธุ์ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้ส่งออกมะม่วงอันดับ 3 ของโลก รองจากอินเดียและจีน แม้มะม่วงจะปลูกง่าย ขึ้นได้แทบทุกที่ในไทย แต่จังหวัดที่มีสภาพเหมาะกับการปลูกมะม่วงมากที่สุดคือฉะเชิงเทรา ราชบุรี และนนทบุรี

4. มะม่วงเป็นไม้เมืองร้อนที่ไม่ต้องการการดูแลรักษามากนัก เติบโตได้แม้ในดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์มาก เมื่อเมล็ดงอกแล้ว ผู้ปลูกไม่จำเป็นต้องคอยประคบประหงม ดังนั้น เราจึงเห็นต้นมะม่วงได้แม้แต่ในสวนหลังบ้าน เมื่อโตเต็มที่ ต้นมะม่วงจะสูงได้ถึง 35 เมตร ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองกลิ่นหอมหวานเมื่อบานเต็มที่

5.มะม่วงจัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีต้นกำเนิดในประเทศอินเดีย และถือว่าเป็นผลไม้ประจำชาติของประเทศอินเดีย ในบ้านเรานั้นมะม่วงจัดเป็น
ผลไม้เศรษฐกิจซึ่งส่งออกเป็นอันดับ 3 ของโลก สำหรับพันธุ์มะม่วงนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์มาก โดยสายพันธุ์ที่แพร่หลายมากที่สุดเห็นจะ
เป็นพันธุ์เขียวเสวย แรด น้ำดอกไม้ อกร่อง ฟ้าลั่น โชคอนันต์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละสายพันธุ์นั้นก็จะมีรสชาติและลักษณะแตกต่างกันออกไป
ประโยชน์ของมะม่วงที่เราเห็นเป็นประจำก็คงจะไม่พ้นการนำมารับประทานเป็นผลไม้สดทั้งดิบและสุก หรือมีการไปทำเป็นอาหารว่างต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น มะม่วงกวน มะม่วงแก้ว มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงน้ำปลาหวาน ข้าวเหนียวมะม่วง พายมะม่วง และนำไปใช้ประกอบอาหาร เช่น
ใส่น้ำพริก ยำ ส้มตำ ส่วนยอดอ่อนหรือผลอ่อนก็สามารถนำมาประกอบอาหารแทนผักได้

6. สรรพคุณของมะม่วง

มะม่วงมีวิตามินซีสูง จึงช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี
มะม่วงมีวิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ช่วยบำรุงและรักษาสายตา เพราะอุดมไปด้วยวิตามินเอและเบตาแคโรทีน
เป็นผลไม้ที่มีส่วนช่วยบำรุงร่างกาย
ช่วยทำให้ผ่อนคลายและหลับสบายยิ่งขึ้น
ช่วยทำให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ ปรับสมดุลภายใน
ผลมะม่วงดิบมีวิตามินซีสูง จึงช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ
มีส่วนช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ รวมไปถึงต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
ช่วยเยียวยาและรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ใบมะม่วงประมาณ 15 ใบ นำมาล้างให้สะอาด แล้วนำมาต้มในน้ำสะอาด 1 ถ้วย

โดยใช้ไฟอ่อน ๆ นาน 1 ชั่วโมง ถ้าน้ำแห้งก็เติมเรื่อย ๆ เมื่อเสร็จแล้วนำมาตั้งทิ้งค้างคืนไว้ 1 คืน พอเช้าก็นำมากรองเอาแต่น้ำดื่มติดต่อกันประมาณ 3-4 วัน
ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ด้วยการรับประทานผลสดแก่
ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ด้วยการรับประทานผลสดแก่
ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการรับประทานผลมะม่วง
ช่วยแก้โรคคอตีบ ด้วยการใช้เปลือกของลำต้นมะม่วงมาต้มรับประทาน

7. ประโยชน์และสรรพคุณมะม่วง

ประโยชน์ของมะม่วงที่เราคุ้นเคยเป็นประจำก็คือ นำมารับประทานเป็นผลไม้สดทั้งดิบและสุก โดยอาจใช้รับประทานสดๆ ทั้งที่รสเปรี้ยวหรือหวาน หรือมีการไปทำเป็นอาหารคาว-หวานต่างๆ เช่น มะม่วงยำ ตำมะม่วง ใช้เป็นเครื่องทำข้าวคลุกกะปิ หรือจะทำเป็นข้าวเหนียวมะม่วง มะม่วงแผ่น มะม่วงน้ำปลาหวาน

มะม่วงกวน มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงแก้ว เป็นต้น ส่วนใบอ่อนยังสามารถนำมาใช้ประกอบอาหารได้ เช่น ยำยอดมะม่วง หรือใช้เป็นเครื่องเคียงกับน้ำพริกต่างๆ ในภาคเหนือ นอกจากนี้ยังมีการนำส่วนต่างๆของมะม่วงมาใช้ประโยชน์อื่นๆอีกเช่น

ใบแก่ของมะม่วงนำมาใช้ย้อมผ้าโดยจะให้สีเหลือง และเปลือกต้นของมะม่วงเมื่อนำมาย้อมผ้าจะให้สีเขียว ส่วนเนื้อไม้มะม่วงยังมีการนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ในครัวเรือน รวมถึงเครื่องมือทางการเกษตรอีกด้วย และสำหรับสรรพคุณทางยาของมะม่วงนั้น ตามตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้านภาคต่างๆ นั้น

ได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ดังนี้ ผลสดใช้บำรุงธาตุ บำรุงกระเพาะอาหาร ทำให้กระปรี้กระเปร่า

แก้ร้อนในกระหาย้ำ แก้บิดมูกเลือด ใช้เป็นยาระบายช่วยในการขับถ่าย ขับปัสสาวะ แก้วิงเวียนศีรษะ ใบช่วยแก้เบาหวาน แก้ลำไส้อักเสบ แก้ท้องอืด แก้ตานขโมยในเด็ก ใช้ล้างบาดแผล สมานแผล เปลือกต้น แก้ไข้ตัวร้อน แก้จมูกอักเสบ แก้คอตีบ เมล็ดใช้ขับพยาธิ เปลือกผลใช้ แก้ปวดเมื่อยปวดประจำเดือน

8. ถิ่นกำเนิดมะม่วง

มะม่วงจัดเป็นผลไม้เมืองร้อนตระกลูเดียวกับมะปราง มีถิ่นกำเนิดแถบภาคตะวันออกของอินเดีย ต่อมาได้กระจายพันธุ์ไปยังบริเวณเขตร้อนใกล้เคียง รวมถึงประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ปัจจุบันสามารถพบมะม่วงได้ในเขตร้อนต่างๆ เช่น กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮาวาย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย อินเดีย

แอฟริกาตะวันออกและใต้ อียิปต์ อิสราเอล และตอนใต้ของอเมริกาและมีสายพันธุ์กว่า 50 สายพันธุ์ สำหรับในประเทศไทยมะม่วงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยได้ส่งออกมะม่วงเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากฟิลิปปินส์ และเม็กซิโกและสามารถเพาะปลูกได้ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่ส่วนมากจะมีการปลูกมากในภาคเหนือและภาคกลาง

9. ะหาความแตกต่างของมะม่วงกลุ่มนี้กับกลุ่มอื่นๆ ต้องดูกันที่รูปร่างของผลและใบ หลักๆ แล้ว ผลของมะม่วงกลุ่มพราหมณ์เป็นรูปไข่ ส่วนทรงของใบนั้น กลางใบจะป้อม ปลายใบจะเรียวแหลมเช่นเดียวกับฐานใบ ส่วนขอบใบจะเรียบ เมื่อพิจารณาลงลึกไปอีกเพื่อหามะม่วงเบา ก็ต้องดูว่า ทรงใบขอบขนาน ฐาน และปลายใบแหลม ขอบใบเป็นคลื่น

ต้นมะม่วงเบาสูงประมาณ 5-10 เมตร ใบยาวประมาณ 15-25 เซนติเมตร กว้าง 5-7 เซนติเมตร บางและค่อนข้างเหนียว

มีก้านใบยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ส่วนดอกออกเป็นช่อ แต่ละดอกมีห้ากลีบ ผลมะม่วงเบากว้างยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร วางบนมือผู้ใหญ่ก็ยังมีพื้นที่เหลือ หนักประมาณ 50-60 กรัม ส่วนเปลือกมะม่วงเบาจะเรียบเกลี้ยง มันวาว สีเขียวสด ผ่าเข้าไปเห็นเมล็ดคล้ายถั่วแดงหรือไตยาวประมาณ 4 เซนติเมตร

10. เพิ่มรสเปรี้ยวหอมที่เป็นเอกลักษณ์

รสเปรี้ยวจี๊ดของมะม่วงเบาสามารถนำไปใช้แทนน้ำมะนาวหรือน้ำส้มมะขามในอาหารหลายจาน ที่คุ้นกันดีก็เช่น มะม่วงดิบในน้ำพริก หรือข้าวคลุกกะปิในฤดูร้อนที่มะนาวออกน้อย แต่เป็นช่วงที่มะม่วงเบาออกเยอะพอดี ก็เอามาแทนกันได้ สำหรับคนใต้ ใส่มะม่วงเบาลงในอาหารคาวหลายอย่าง เช่น ข้าวยำ ขนมจีนน้ำยา ข้าวราดแกงไตปลา

 

ผักกาดหอม  ผักกาดหอม

ใส่ความเห็น