แมงลัก มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ก้อมก้อข้าว (ภาคเหนือ), มังลัก อีตู่ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เป็นต้น
แมงลักเป็นพืชล้มลุกในสกุลกะเพราและโหระพา ลักษณะของต้นจะคล้ายกับต้นกะเพรา ต่างกันที่กลิ่นและสีใบจะอ่อนกว่า มีลำต้นสูงประมาณ 30-80 เซนติเมตร มีกลิ่นหอมทุกส่วน ใบเดี่ยว ใบเรียงตรงข้ามเป็นคู่ ๆ ดอกและช่อจะออกที่ปลายยอด อาจเป็นชื่อเดี่ยวหรือแตกออกเป็นช่อย่อย ๆ ดอกจะบานจากล่างไปบน กลีบดอกสีขาวแบ่งเป็น 2 ปากและร่วงง่าย เกสรตัวผู้จะยื่นยาวกว่ากลีบดอก ดอกย่อยออกโดยรอบก้านก่อเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นมีดอกย่อย 6 ดอก แบ่งเป็น 2 ส่วน ดอกตรงกลางจะบานก่อนและช่อดอกย่อยที่อยู่ชั้นล่างสุดของก้านช่อดอกจะบานก่อนเช่นกัน ผล 1 ดอกมีผล 4 ผล มีขนาดเล็ก เรียกว่าเม็ดแมงลัก ซึ่งมีลักษณะกลมรีและมีสีดำ
ต้นแมงลัก ส่วนที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็คือเมล็ดแมงลักและใบแมงลัก ซึ่งในส่วนของใบนั้นเรานิยมนำมาใช้ประกอบอาหารหรือใส่เครื่องแกงต่าง ๆ เช่น แกงเลียง เป็นต้น ส่วนเมล็ดก็นำมาใช้ทำเป็นขนมอื่น ๆ ได้หรือนำไปผสมกับเครื่องดื่มก็ได้ เช่น น้ำเต้าหู้ น้ำขิง น้ำใบเตย (โจ๊กก็ได้นะ) โดยสามารถรับประทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และยังปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรอีกด้วย
ในประเทศไทยนั้นแมงลักจะมีสายพันธุ์หลักเพียงสายพันธุ์เดียวนั่นก็คือ “ศรแดง” ที่เหลือก็จะเป็นพันธุ์ผสมหรือพันทาง ลักษณะของพันธุ์ศรแดงที่ดีนั้นใบต้องใหญ่พอดี ไม่เล็กเกินไป ดอกสีขาวเป็นชั้น ๆ คล้ายฉัตร โดยข้อมูลจากกองโภชนาการกรมอนามัยระบุไว้ว่า แมงลัก 100 กรัมจะมีธาตุแคลเซียม 140 mg. และมีวิตามินเอ 590.56 mcg. ที่สูงกว่ากะเพราและโหระพา แต่กรมส่งเสริมการเกษตรระบุว่ามี วิตามินเอ 9,164 IU และ วิตามินบี 2 0.14 mg. ซึ่งน้อยกว่ากะเพราและโหระพา แต่มีวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ ที่สูงกว่า เช่น ธาตุแคลเซียม 350 mg. ธาตุฟอสฟอรัส 86 mg. ธาตุเหล็ก 4.9 mg. วิตามินซี 78 mg. และวิตามินบี 1 0.3 mg. เป็นต้น
สำหรับใครที่เพิ่งเคยรับประทานเม็ดแมงลักในช่วง 2-3 วันแรกอาจจะยังไม่เห็นผลเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะว่าร่างกายกำลังปรับตัว แต่หลังจากรับประทานไปสักระยะหนึ่งก็จะดีขึ้นเอง แต่ถ้าหากรับประทานไปสักระยะหนึ่งแล้วไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงก็ต้องกลับมาพิจารณาทีละจุดว่าเราใส่น้ำในเม็ดแมงลักน้อยเกินไปหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ใส่เยอะ ๆ หรือรับประทานอย่างถูกวิธีแล้วหรือไม่ (ควรรับประทานหลังอาหารเย็นประมาณ 3 ชั่วโมงกำลังดี) และคุณขับถ่ายในช่วงเวลาตี 5 ถึง 7 โมงเช้าหรือไม่ ถ้าไม่ก็จะได้ผลน้อย หรือคุณรีบร้อนเกินไป ใช้เวลาขับถ่ายน้อย พยายามเร่งเวลาในการขับถ่ายทำให้ร่างกายไม่ผ่อนคลาย ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญเช่นกัน ดังนั้นก็อย่าเพิ่งรีบท้อกันไปก่อนละ
ถิ่นกำเนิด แมงลัก
แมงลักเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีเอเชีย เช่น อินเดีย,มังคลาเทศ,เนปาล,พม่า,ไทย,สาว,กัมพูชา.เวียดนาม แล้วได้มีการกระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนตามทวีปต่างๆ ของโลก เช่น แอฟริกา และอเมริกา รวมถึงอเมริกาใต้ด้วย นอกจากนี้แมงลักยังเป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีหลายสายพันธุ์ แต่ในประเทศไทยนั้นแมงลักจะมีสายพันธุ์หลักเพียงสายพันธุ์เดียวนั่นก็คือ “ศรแดง” ที่เหลือก็จะเป็นพันธุ์ผสมหรือพันทาง
ประโยชน์สรรพคุณ แมงลัก
แมงลัก สามารถใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร เช่น ห่อหมก แกงเลียง อ่อม แกงคั่ว ขนมจีนน้ำยา แกงหน่อไม้ มักจะพบมากในอาหารอีสาน โดยส่วนที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็คือใบแมงลัก ซึ่งในส่วนของใบนั้นเรานิยมนำมาใช้ประกอบอาหารหรือใส่เครื่องแกงต่าง ๆ ส่วนเมล็ดก็นำมาใช้ทำเป็นขนมอื่น ๆ ได้หรือนำไปผสมกับเครื่องดื่มก็ได้ เช่น น้ำเต้าหู้ น้ำขิง หรือ น้ำใบเตย โดยสามารถรับประทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และยังมีความปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
นอกจากนี้ผลแมงลัก ซึ่งมักเรียกว่า “เม็ดแมงลัก”ยังสามารถใช้เป็นยาระบายชนิดเพิ่มกาก เนื่องจากเปลือกผลมีสารเมือก ซึ่งสามารถพองตัวในน้ำได้ 45 เท่า เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกินอาหาร ที่มีกาก เช่น ผัก ผลไม้ ใช้ผลแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำ 1 แก้ว จนพองตัวเต็มที่ กินก่อนนอน ถ้าผลแมงลักพองตัวไม่เต็มที่จะทำให้ท้องอืด และอุจจาระแข็ง จากการทดลองพบว่า แมงลักทำให้จำนวนครั้งในการถ่ายและปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้อุจจาระอ่อนตัวกว่าปกติและยังสามารถนำใบมาตากแห้ง 5-7 แดด แล้วนำมาชงเป็นชาดื่มหรือใช้ใบแมงลักนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยเพื่อใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง และน้ำหอม รวมถึงใช้ในด้านความงามต่างๆได้อีกด้วย
- ช่วยขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ
- แก้ลมตานซาง
- แก้ท้องขึ้นอืดเฟ้อในเด็ก
- ช่วยสมานแผล ล้างแผลทุกชนิด
- แก้จุดเสียด
- ขับลมในลำไส้
- แก้พิษ ตานซาง
- แก้ไอ
- แก้หวัด
- แก้หลอดลมอักเสบ
- แก้โรคผิวหนัง
- ช่วยขับเสมหะ
- แก้กลากแก้เกลื้อน
- แก้ลม วิงเวียน
- แก้ไอเรื้อรัง
- แก้ปวดท้อง
- รักษาโรคเกลื้อนน้ำนม
- แก้อาการเกร็งของหลอดลมช่วยย่อย
- แก้สะอึก
- ใช้บดเอาน้ำหยอดหูแก้ปวด แก้หูตึง
- ช่วยทำให้ประจำเดือนเป็นปกติ
- แก้อาเจียน
- ช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน
รูปแบบและขนาดวิธีใช้แมงลัก
ใช้ขับลมในลำไส้ อาหารไม่ย่อย อาการอึดอัด แน่นไม่สบายท้อง ช่วยขับเหงื่อ เมื่อมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่ค่อยสบายให้ นำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม บรรเทาอาการหวัด อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หลอดลมอักเสบ ใช้ใบแมงลัก 1 กำมือล้างสะอาด โขลกคั้นน้ำดื่ม 1 ถ้วยตะไลบรรเทาอาการดังกล่าว สำหรับกรณีของหลอดลมอักเสบให้คั้นน้ำดื่ม 1 ถ้วยตะไล 3 เวลาเช้า-กลางวัน-เย็น แก้ท้องร่วงท้องเสีย ใบแมงลัก 2 กำมือ ล้างสะอาด โขลกบีบคั้นน้ำดื่ม ใช้เป็นยาระบาย ใช้เมล็ดแก่ของแมงลัก สัก 1 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้ว ปล่อยให้พองตัวดีแล้ว เติมน้ำตาลเล็กน้อย ดื่มแก้ท้องผูก สามารถใช้กับหญิงตั้งครรภ์และแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมได้
ใช้ลดความอ้วน เปลือกผล (ที่เรียกเมล็ดแมงลัก) มีสารเมือกซึ่งสามารถพองตัวในน้ำได้ 45 เท่า เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกินอาหารที่มีกาก ใช้ผลแมงลัก 1-2 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้จนพองตัวเต็มที่ กินก่อนมื้ออาหารครึ่งชั่วโมง ดื่มน้ำตาม ช่วยให้กินอาหารได้น้อยลง ลดปริมาณพลังงานอาหาร ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัวและเพิ่ม จำนวนครั้งในการขับถ่ายและปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้นและยังสามารถ ลดอาการท้องผูกด้วย บรรเทาอาการผื่นคัน พิษจากพืช พิษสัตว์กัดต่อย หรืออาการคันจากเชื้อรา ใช้ใบแมงลักสดโขลกพอกบริเวณที่มีอาการ และเปลี่ยนยาบ่อยๆ รักษาโรคกลากเกลื้อนด้วยการใช้ใบสดประมาณ 10 ใบ ล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำมาตำผสมน้ำเล็กน้อย แล้วทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนวันละ 1 ครั้งประมาณ 1-2 สัปดาห์อาการจะดีขึ้น
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์เป็นยาระบาย เมล็ดแมงลักช่วยการขับถ่ายเพราะเปลือกด้านนอกสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า โดยไม่ถูกย่อย ทำให้เพิ่มกากและช่วยหล่อลื่น ทำให้ขับถ่ายสะดวกขึ้น จากการศึกษาในอาสาสมัครโดยให้รับประทานเมล็ดแมงลัก ผสมน้ำ พบว่าสามารถเพิ่มปริมาณอุจจาระและจำนวนครั้งในการถ่าย และทำให้อุจจาระอ่อนตัวกว่าปกติ เช่นเดียวกับการรับประทาน psyllium เมื่อป้อนเมล็ดแมงลัก ขนาด 37.5 มก./กก. ละลายน้ำให้พองตัว ให้หนูขาวและหนูถีบจักร จะมีผลทำให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวเทียบเท่ากับการให้หนูกินยาถ่าย metamucil ขนาด 300 มก./กก.
นอกจากนี้ ยังมีการทดลองกับผู้ป่วยที่จะได้รับการผ่าตัดต่อมลูกหมากและนิ่วในไต โดยให้กินยาระบายเมล็ดแมงลัก (เมล็ดแมงลักบดเป็นผง) ขนาดครึ่งถึง 1 ช้อนชา และ 1 ช้อนชาครึ่ง ในน้ำ 150 มิลลิลิตร 3 ครั้งหลังอาหาร/วัน และหลังการผ่าตัด เป็นเวลา 3-8 วัน และกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับเมล็ดแมงลัก พบว่าสัดส่วนอาการท้องผูกหลังการผ่าตัดของผู้ป่วยกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับ เมล็ดแมงลักเท่ากับร้อยละ 80.6 ขณะที่กลุ่มที่ได้รับเมล็ดแมงลักมีสัดส่วนของอาการท้องผูกเท่ากับร้อยละ 13.3, 31.6 และ 10.5 ตามลำดับ จากการทดลองจะเห็นว่าเมล็ดแมงลักสามารถลดอาการท้องผูกของผู้ป่วยหลังผ่าตัดได้
การศึกษาทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน โดยป้อนเมล็ดแมงลักให้หนูแรทในขนาด 5 กรัม/กิโลกรัม ครั้งเดียว ไม่พบว่ามีพิษใดๆหลังจากนั้น 7 วัน ในการทดสอบพิษกึ่งเรื้อรังโดยป้อนเมล็ดแมงลักให้หนู กระต่าย และแมว ในขนาด 1 กรัม/กิโลกรัม ติดต่อกันเป็นเวลา 10 วัน ไม่พบว่ามีพิษต่ออวัยวะต่างๆ และ การทดสอบพิษเรื้อรังโดยการป้อนเมล็ดแมงลักให้หนูแรท ขนาด 0.25, 0.5, 1 และ 2 กรัม/กิโลกรัม เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของตับ ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (6) การศึกษาความเป็นพิษแบบเฉียบพลัน พิษกึ่งเรื้อรัง และพิษเรื้อรัง ของเมล็ดแมงลัก โดยป้อนเมล็ดแมงลักที่ละลายน้ำให้พองตัว ในขนาด 0.3, 0.5 และ 1 กรัม/กิโลกรัม ให้หนูแรท เป็นเวลา 1 วัน 1 สัปดาห์ และ 1 ปี ก็ไม่พบความเป็นพิษใด ๆ เมื่อฉีดสารสกัดเมทานอล (80%) จากส่วนเหนือดินสด ขนาด 2 ก./กก.เข้าทางกระเพาะอาหารของหนูถีบจักร (23) หรือฉีดผงจากส่วนเหนือดินแห้ง ขนาด 6 ก./กก. เข้าทางกระเพาะอาหารหนูขาว (24) พบว่าสารสกัดและส่วนของพืชที่ใช้ทดสอบไม่มีพิษต่อสัตว์ทดลอง
เอกสารอ้างอิง
- พร้อมจิต ศรลัมพ์ รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะ สมุนไพรไทย ใน:พร้อมจิต ศรลัมพ์ รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะ บรรณาธิการ สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 1 กรุงเทพมหานคร.อมรินทร์พริ้นติ้งแอนท์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน).2543.220 หน้า
- วงศ์สถิต ฉั่วกุล.แมงลักและแมงกะแซง.จุลสารข้อมูลสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ปีที่ 25 ฉบับที่1.ตุลาคม 2550.หน้า18-20
- แมงลัก ,ฐานข้อมูลสมุนไพรที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุข โชคชัยเจริญพร บรรณาธิการ.สมุนไพรไม้พื้นบ้าน.กรุงเทพ:ประชาชน จำกัด .2524:823 หน้า.
- แมงลัก,ฐานข้อมูลสมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- รศ.ดร.สุธาทิพย ภมรประวัติ.แมงลัก คอลัมน์บทความพิเศษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 357.มกราคม2552
- แมงลัก/ใบแมงลัก(Hairy Basil) สรรพคุณและการปลูกแมงลัก.พืชเกษตรดอทคอม(ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก http://www.puechkaset.com
- แมงลัก.กลุ่มยาถ่าย.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็กพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.rspg.or.th/plant_data/herbs_05_8.htm
- ชยันต์ พิเชียรสุนทร แม้นมาส ชวลิต วิเชียร จีรวงส์.คำอธิบายตำราพระโอสถพระนารายณ์.กรุงเทพ:อมรินทร์พริ้นติ้งเอนท์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน).2544:777หน้า
- บวร เอี่ยมสมบูรณ์. ดงไม้. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
- Recio MC, Rios JL, Villar A. Antimicrobial activity of selected plants employed in the Spanish mediterranean area. Part II. Phytother Res 1989;3(3):77-80.
- Ndounga M, Ouamba JM. Antibacterial and antifungal activities of essential oils of Ocimum gratissimum and O. basilicum from Congo. Fitoterapia 1997;68(2):190-1.
- Hussain RA, Poveda LJ, Pezzuto JM, Soejarto DD, Kinghorn AD. Sweetening agents of plant origin: phenylpropanoid constituents of seven sweet-tasting plants. Econ Bot 1990;44(2):174-82.
- Singh S, Majumdar DK, Yadav MR. Chemical and pharmacological studies on fixed oil of Ocimum sanctum. Indian J Exp Biol 1996;34(12):1212-5.
- Murakami A, Kondo A, Nakamura Y, Ohigashi H, Koshimizu K. Possible anti-tumor promoting properties of edible plants from Thailand, and identification of an active constituent, cardamonin, of Boesenbergia pandurata. Biosci Biotech Biochem 1993;57(11):1971-3.
- Ross SA, El-Keltawi NE, Megalla SE. Antimicrobial activity of some Egyptian aromatic plants. Fitoterapia 1980;51:201-5.
- Farouk A, Bashir AK, Salih AKM. Antimicrobial activity of certain Sudanese plants used in folkloric medicine. Screening for antibacterial activity (I). Fitoterapia 1983; 54(1):3-7.